วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)






ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) เป็น สุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์

เชื่อ กันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่ เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความ ฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎ ตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวด สุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จน ถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง

สุนัขพันธุ์เฟรนช์ บลูด๊อก (French Bull Dog)

เฟรนช์ บลูด๊อก (French Bull Dog) หรือที่เราเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “เฟรนชี่” นี้ ถึงแม้ว่าหน้าตาของเขาจะดูน่ารักแบบแปลกๆ แต่ถิ่นฐานบ้านเกิดของเขานั้นไฮโซมาก นั่นก็คือประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง




จากการค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งที่มาหลายที่ทำให้ทราบว่าเฟรนช์ บลูด๊อก ได้ถือกำเนิดขึ้นตามประเทศต่างๆ ดังนี้
ประมาณปี 1850 – 1860 บรีดเดอร์ชาวอังกฤษได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์สุนัขบลูด๊อก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุนัขที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษให้มีขนาดเล็กลง
ปี 1860 มีผู้นำสุนัขอิงลิช บลูด๊อก ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดเล็กลงเข้าไปยังประเทศฝรั่งเศส ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวฝรั่งเศส ได้นำอิงลิช บลูด๊อกขนาดเล็กไปผสมกับสุนัขสายพันธุ์เฟรนช์ เทอร์เรียร์ และตั้งชื่อสุนัขสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า “เฟรนช์ บลูด๊อก (French Bulldog)”
นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันได้มาพบสุนัขเฟรนช์ บลูด๊อก เข้า แล้วเกิดอาการปิ๊งทันทีที่ได้เห็น จึงนำกลับประเทศอเมริกา
เฟรนช์ บลูด๊อก ปรากฎตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี 1896 ในงานประกวดสุนัข Westminster Kennel Club’s Show ที่นิวยอร์ก และได้มีการตั้งสมาคม French Bulldog Club of Amarica ขึ้นเป็นสมาคมสุนัขสายพันธุ์นี้แห่งแรกในโลก
มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะ :
French Bulldog เป็นสุนัขพันธุ์เล็กน้ำหนักไม่เกิน 28 ปอนด์ หน้าเหมือน Bulldog ทั่วไป ริมฝีปากหนา จมูกหักสั้นเข้าไปด้านใน นัยน์ตาสดใส ลักษณะพิเศษคือใบหูเหมือนค้างคาว ซึ่งไม่มีสุนัขพันธุ์ใดใน โลกนี้เหมือนเขา
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ จะเห่าและขู่บ้าง แต่มีความเป็นมิตรชอบทำตัวเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าเป็นผู้อารักขา พร้อมที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก แมว และสัตว์อื่นๆ มีนิสัยขี้เล่น ร่าเริงรักเด็กขนาดใกล้เคียงกับ Pug และ Boston Terrier

ศีรษะ :
มีขนาดใหญ่คล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หัวกะโหลกระหว่างหูค่อนข้างแบน
หน้าผาก : มีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเน้อชัดเจน
หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ค่อนข้างยาว ปลายหูกลม โคนหูอยู่ค่อนข้างสูง
ตา : มีสีเข้ม ขนาดปานกลาง ตาค่อนข้างกลม ตาค่อนข้างห่างจากหู ตาไม่ลึกหรือโปน
ดั้งจมูก : มีมุมหักชัดเจนทำให้มีหลุมลึก
ปาก : มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากเหนียงและค่อนข้างหนา กรามแข็งแรงขณะหุบปากไม่เห็นฟันยื่นออกมา
จมูก : มีลักษณะสั้น รูจมูกกว้าง จมูกมีสีดำ หรือสีจาง ขึ้นอยู่กับสีของขน
ฟัน : แข็งแรง ขบแบบ UNDERSHOT
ลำตัว : มีลักษณะสั้นกลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้างบริเวณเอวเล็ก
คอ : มีลักษณะกลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือก ค่อนข้างย่น
อก : กว้างและลึก
ขาหน้า : มีกระดูกใหญ่ ขาหน้าค่อนข้าสั้น ขาหน้าประกอบด้วยกล้ามเนื้อขา ขาหน้าตั้งตรงขาหน้าทั้งสองห่างกันพอสมควร เท้าหน้าขนาดพอเหมาะนิ้วเท้าชิด
ขาหลัง : ประกอบด้วยกล้ามเนื้อขาหลังตรง ห่างกันพอประมาณข้อเท้าหลังอยู่ในระดับต่ำ เท้าหลังมีขนาดพอเหมาะนิ้วเท้าชิด เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย
หาง : โคนอยู่ในระดับต่ำ หางตรงหรือเป็นเกลียวได้ หางค่อนข้างสั้น
ขน-สี : ขนสั้นนุ่ม ขนมีหลายสี เช่น น้ำตาล ขาว น้ำตาลขาว หนังค่อนข้างย่น
น้ำหนัก : ชนิดเล็กมีน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ ชนิดใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์
ข้อบกพร่อง : หูไม่เหมือนค้างคาว สีดำ-ขาว สีดำ-น้ำตาล ตามีสีไม่เหมือนกัน น้ำหนักเกิน 22 ปอนด์

สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)





ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky) เป็นสุนัขสายพันธุ์แท้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกของประเทศรัสเซีย ในดินแดนไซบีเรีย สุนัขพันธุ์นี้ถูกคัดเลือกพันธุ์ขึ้นโดยชาวพื้นเมืองที่เรียกว่าชัคชิ (Chukchi) ซึ่งมีความพยายามที่จะนำสุนัขพันธุ์นี้มาใช้งาน เนื่องจากคุณลักษณะเด่นในด้านความแข็งแรง ความอดทนต่อสภาพอากาศอันหนาวจัด

และยังสามารถ วิ่งฝ่าหิมะในระยะทางไกลๆได้ อีกทั้งยังนำไซบีเรียนมาใช้งานในการล่าสัตว์ หาอาหาร เฝ้ายาม และลากเลื่อนบนหิมะ และด้วยการพึ่งพาอาศัยกันเป็นระยะเวลายาวนานของชนเผ่าชัคชิกับสุนัขไซบี เรียนฮัสกี้ ทำให้ไซบีเรียน ฮัสกี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งในวัตนธรรมชนเผ่าชัคชิในที่สุด
ต่อมา ประมาณ คศ.1900 ชาวอเมริกัน อลาสก้าเริ่มได้ยินคำร่ำลือถึงสุนัขลากเลื่อนสายพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ ในแถบไซบีเรีย และเริ่มมีการนำสุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ เข้าสู่ดินแดนตะวันตกผ่านทางพ่อค้ารัสเซีย ไซบีเรียน ฮัสกี้ จึงได้เริ่มมีชื่อเสียงในหมู่อเมริกันชนมากขึ้นหลังจากชนะการแข่งขันลาก เลื่อนที่อลาสก้าในปี คศ.1909 ด้วยความสามารถในการลากเลื่อนบนหิมะเป็นระยะทาง  400 ไมล์ หลังจากนั้นการแข่ง สุนัขลากเลื่อนก็เป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเป็นเจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้ ที่สามารถกวาดรางวัลชนะเลิศอย่างต่อเนื่อง จนกระทั้งในปี คศ.1930 Amarican Kennel Club (AKC) ก็ได้ขึ้นทะเบียนสายพันธุ์สุนัขไซบีเรียน ฮัสกี้

มาตราฐานสายพันธุ์

อุปนิสัย : อารมณ์ดี เป็นมิตร เข้ากับคนแปลกหน้าและสุนัขอื่นได้ง่าย มีความตื่นตัวมาก มีพละกำลังเหลือเฟือ และต้องการการออกกำลังกายสูง
ส่วนหัว : มีขนาดปานกลางสมส่วนกับลำตัว หัวกะโหลกค่อนข้างกลมเล็กน้อย หัวกะโหลกระหว่างหูจะกว้าง และเรียวลงจรดตาทั้งสองข้าง
หู : มีขนาดปานกลางมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายหูมน ใบหูหนา มีขนแน่นหูตั้ง
ตา : มีลักษณะเป็นรูปกลมรี คล้ายเม็ดอัลมอนด์ อยู่หางกันพอประมาณ ตามีสีอาจมีได้หลายสี เช่น สีฟ้า น้ำตาล ดำ อัมพัน หรือตาทั้งสองข้างอาจมีสีไม่เหมือนกัน ก็ไม่ถือว่าผิดมาตรฐานสายพันธุ์
จมูก : มีสีดำ น้ำตาลเข้ม หรือสีเนื้อสำหรับสุนัขสีขาว อาจพบเส้นสีชมพูอยู่ตรงกลาง(Snow Nose)
ดั้งจมูก : มีมุมหักพอประมาณ
ปาก : ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก ปากมีความกว้างพอประมาณ สันปากตรง โคนปากใหญ่ และเรียวลงจรดปลายจมูก ริมฝีปากตึง มีสีเข้ม
ฟัน : ขาวสะอาด แข็งแรง ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : มีขนาดปานกลาง เส้นหลังตรงขนานกับพื้น ความยาวของลำตัวมากกว่าความสูงของลำตัวเล็กน้อย
คอ : มีความยาวปานกลาง มีลักษณะโค้ง ขณะเดิน หรือวิ่ง คอจะยืดไปข้างหน้า
ลำตัวส่วนหน้า : หัวไหล่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ แข็งแรง
อก : มีลักษณะแข็งแรง อกลึกจรดข้อศอก อกมีความกว้างพอประมาณ ไม่กว้างจนเกินไป
ขาหน้า : มอง จากด้านหน้าขาหน้าทั้งสองข้างตรง ห่างกันพอเหมาะ มองจากด้านข้างข้อเท้าเอียงเล็กน้อย ท่อนขาตรง ความยาวของขาจากข้อศอกถึงพื้นจะมากกว่าความยาวจากข้อศอกถึงหัวไหล่เล็กน้อย เท้ามีลักษณะกลมรี นิ้วเท้าชิด เท้ามีขนหนาแน่น
ขาหลัง : ท่อนบนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ มีกำลังมาก ข้อเท้าหลังแข็งแรง มองจากเท้าหลัง ขาหลังทั้งสองข้างตั้งตรงขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ เท้ามีลักษณะกลมรีนิ้วเท้าชิด เท้ามีขนหนาแน่น
หาง : ตำแหน่งหางค่อนข้างต่ำ ขนเป็นพวง หางมักจะยกสูงโค้งเล็กน้อย หางไม่บิดเอียงไปทางซ้ายหรือขวา ขนหางต้องฟูแน่น คล้ายสุนัขจิ้งจอก
ขน สี : ขนมี 2 ชั้น ขนชั้นในนุ่ม ขนชั้นนอกแข็งแนบชิดผิวหนังกันน้ำได้ ขนมีหลายสี ตั้งแต่สีดำหรือขาวล้วน
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดปานกลาง
น้ำหนัก : เพศผู้หนักประมาณ 45 – 60 ปอนด์ เพศเมียหนักประมาณ 35 – 50 ปอนด์
ส่วนสูง : เพศผู้สูงประมาณ 21 – 23.5 นิ้ว เพศเมียสูงประมาณ 20 – 22 นิ้ว
การเดิน วิ่ง : เดินย่างก้าวเบา แต่มีพลัง ว่องไว คล่องตัวสูง ดูสง่างาม
ข้อบกพร่อง : หูใหญ่ หูตก หางม้วนมาก

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชิวาวา








Chihuahau สุนัขพันธุ์นี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 มีถิ่นกำเนิดในดินแดนที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบันในการค้นพบทวีปอเมริกา ของ CHRISTOPHER COLUMBUS ก็มีบันทึกการค้นพบสุนัขพันธุ์ชิวาวานี้ด้วย จากตำนานกล่าวว่าชาวพื้นเมืองนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิวาวามาก และเกิดความเชื่อถือในเรื่องโชคลางต่างๆ ตลอดจนมีการนำสุนัขพันธุ์นี้ไปใช้ในพิธีบูชายันต์ มีผู้พบภาพสลักของสุนัขพันธุ์ตามก้อนหินต่างๆ และในถ้ำสุนัขพันธุ์ชิวาวามี 2 ชนิด คือ ชนิดขนสั้นและชนิดขนยาว

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ
ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะกลม แก้มค่อนข้างเล็ก
หู : มีขนาดใหญ่ ใบหูตั้งพันธุ์ขนยาว บริเวณหูจะมีขนยาว
ตา : มีลักษณะกลมโต
ปาก : มีขนาดค่อนข้างเล็ก
จมูก : ค่อนข้างส้น มีหลายสีขึ้นอยู่กับสีของขน

ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : ความยาวของลำตัวมีขนาดยาวกว่าความสูงเส้นหลัง ตรงอยู่ในแนวระดับ
คอ : มีลักษณะกลม หัวไหล่เล็ก ชนิดขนยาวบริเวณจะมีขนมาก
อก : ค่อนข้างกว้าง
ขาหลัง : มีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าหลังแข็งแรง ขาหลังอยู่ห่างกันพอเหมาะมองจากด้านหลัง
ขาหลังตรงไม่บิด เท้ามีขนาดเล็ก นิ้วเท้าชิดเล็บค่อนข้างยาว
หาง : มีขนาดค่อนข้างยาว ลักษณะโค้งคล้ายเคียว อาจจะม้วนหางยกสูง
ขน-สี : ชนิดขนสั้นขนค่อนข้างนุ่มและสั้นทั่วทั้งตัว ชนิดขนยาวบริเวณหู อก ลำตัว ขา มีขนยาว
สีมีหลายสี เป็นสีเดียวทั่วตัว แต่อาจจะมีสีจางบางส่วนได้
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กมาก
น้ำหนัก : มีน้ำหนักไม่เกิน 6 ปอนด์
การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม

ข้อบกพร่อง : หางตัด หูตก น้ำหนักเกิน 6 ปอนด์

สุนัขพันธุ์บีเกิล (Beagle)



   มาตรฐานสายพันธุ์
นิสัย : ใจ กล้า จงรักภักดี กระฉับกระเฉง กล้าตัดสินใจ ตื่นตัว ขี้สงสัย สุภาพอ่อนโยน รักความสะอาด เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ชอบเข้าสังคม บ้านที่มีเด็กก็สามารถเลี้ยงเค้าไว้เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆ ได้
ขนาด : สูง 33-40 เซนติเมตร น้ำหนัก 8-14 กิโลกรัม
ศีรษะ : กะโหลกค่อนข้างยาว ท้ายทอยเป็นรูปโดม หน้าผากกว้างและเต็ม จมูกยาวปานกลาง ส่วนปลายจมูกเห็นชัดเจน
ฟัน : ฟันแข็งแรง สีขาว สบกันพอดี
ตา : ดวงตากลมใหญ่ สายตานุ่มนวล แต่แววตาแสดงออกถึงความกระตือรือร้น ดวงตามีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดง
หู : หูอยู่ต่ำเล็กน้อย ชิดกับหัว ขอบหน้าของใบหูชิดกับแก้ม หูมีความยาวมากถ้าจับกางออก ใบหูบาง ขนาดค่อนข้างกว้างและกลม หูไม่ตั้ง
คอ : ลำคอยาวปานกลาง แข็งแรง ไม่ควรมีรอยย่นของผิวหนัง (อาจมีบ้างเล็กน้อยในตำแหน่งด้านล่างตรงมุมของกราม ซึ่งลักษณะเช่นนี้ยังยอมรับได้)
ลำตัว : ลำตัวสะอาด เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เส้นโค้งของไหล่จะทำให้การเดินและท่าทางของบีเกิลเต็มไปด้วยความแข็งแรง ดูไม่หนาเทอะทะ
ขาหน้า : ขาตรง เต็มไปด้วยกระดูกซึ่งเป็นลักษณะของกลุ่มสุนัขล่าสัตว์ ข้อเท้าสั้นและแข็งแรง
ขาหลัง : เข่าแข็งแรง ลาดลงพอดี ข้อเท้าสมดุลและแบะออกปานกลาง
เท้า : เท้ากลมได้รูป หุบแน่น อุ้งเท้าแข็งและเต็ม
หาง : หางอยู่ ตำแหน่งปานกลาง ปลายหางโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ไปด้านหน้ามากนัก หางมีขนเป็นพวง ลักษณะที่บกพร่องคือขนหางยาวเกินไป หางยาว โค้งไปทางด้านหน้ามาก หรือหางไม่มีขน
ขน : ขนแน่น สั้น และแข็ง
สีขน : มี 3 สีร่วมกันโดยไม่มีสีใดเด่น